ความจงรักภักดีต่อแบรนด์ หรือ Brand Loyalty เป็นสิ่งที่หลาย ๆ แบรนด์ให้ความใส่ใจและให้ความสำคัญ เนื่องจากมีผลอย่างมากรายได้ของแบรนด์ในระยะยาว แต่ว่าปัจจุบันพฤติกรรมของผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะทำให้ Brand Loyalty ลดลงไปเรื่อย ๆ

เนื่องจากในปัจจุบันลูกค้าเลือกที่จะทดลองใช้แบรนด์อื่น ๆ นอกจากแบรนด์ที่ตัวเองใช้ประจำมากขึ้น และหลาย ๆ แบรนด์ก็มีแนวทางที่จะดึงลูกค้าจากที่ต่าง ๆ เข้ามาใช้สินค้า ทำให้แบรนด์ที่ยึดถือความภักดีส่วนนี้ต้องวางการตลาดใหม่ทั้งหมด

หนึ่งในนั้นคือการเริ่มหาลูกค้าใหม่ด้วยการโปรโมทแบบต่าง ๆ ที่สื่อโซเชียลมีเดียยุคนี้เลือกใช้กันทั้งการยิงแอด หรือ ทำโปรโมชั่นโดนใจต่าง ๆ เพื่อสร้างการรับรู้และฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น ทีนี้คำถามของหลาย ๆ คนคือแล้วจะทุ่มงบประมาณการตลาดของแบรนด์ระดับไหนจึงจะได้ผล นั่นจึงเกิดสิ่งที่เรียกว่า CAC และ CLV ซึ่งมันคืออะไร G2B จะพาไปรู้จักด้วยกัน

ทำความรู้จึก CAC และ CLA

การทุ่มงบประมาณกับการตลาดของแบรนด์สิ่งแรกที่ต้องคิดคือ CAC (Customer Acquisition Cost) มันคือต้นทุนเฉลี่ยในการหาหรือได้มาซึ่งลูกค้าใหม่ต่อคน ไม่รวมลูกค้าเก่า เช่น แบรนด์ A อยากได้ลูกค้ารายใหม่เลยทุ่มทุนโฆษณาไป 500,000 บาท ก่อนจะได้กลับมา 20,000 คน เท่ากับ CAC อยู่ที่หัวละ 25 บาท

และเมื่อเห็นค่าหัวจากการทุ่มโฆษณาไปแล้ว CLV (Customer Lifetime Value) มันคือมูลค่าลูกค้าแต่ละคนตลอดระยะเวลาที่อยู่กับแบรนด์ จะเข้ามามีบทบาททันที โดยจะคิดจากรายได้เฉลี่ยของลูกค้าที่ทำให้กับแบรนด์ เช่น ลูกค้าใช้เงินกับแบรนด์ประมาณ 500 บาทต่อคนต่อไป และอยู่กับแบรนด์ 5 ปีเท่ากับว่า CLV ของพวกเขาอยู่ที่ 2,500 บาท

การคำนวณ

จากนั้นเรานำ CAC มาเทียบกับ CLV จากตัวอย่างที่ยกมาอยู่ที่ 25 : 2,500 หรือ 1 : 100 ซึ่งนักการตลาดเผยว่าตัวเลขของ CAC กับ CLV ที่ดีต้องอยู่ระหว่าง 1:3 – 1:5 ขึ้นไป ฉะนั้นตัวอย่างที่ยกมาจึงหมายถึงการทุ่มทุนโฆษณาประสบความสำเร็จอย่างมาก

สรุปได้ว่าการใช้งบการตลาดที่คุ้มค่าคือต้องลด CAC ให้น้อยที่สุด และ CLV ให้มากที่สุดนั่นเอง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก MarketThink

inquiry form