
โดยปกติแล้ว ขั้นตอนการนำสินค้าของเราเข้าไปที่ร้านสะดวกซื้อเรียกว่าไม่ง่ายเลย เพราะกฎเกณฑ์ข้อบังคับที่เข้มงวด แต่สิ่งที่ยากกว่าคือ “การให้สินค้าของเราอยู่ในร้านสะดวกซื้อได้นานที่สุด” จากข้อมูลของร้านสะดวกซื้อเจ้าดังในประเทศไทย สินค้าอุปโภค-บริโภค หากทำยอดขายไม่ตามเป้าที่ร้านตั้งไว้ จะถูกนำออกไปใน 2-3 เดือน โดยการนำออกไปนี้จะมีตั้งแต่การลดสาขาที่วางสินค้า และหนักสุดคือยกเลิกสัญญาขาย
จากข้อมูลของร้านสะดวกซื้อเจ้าดังพบว่าใน 1 ปี มีสินค้าที่ออกจากร้านสะดวกซื้อเพราะทำยอดขายไม่ตรงเป้ามากกว่า 2000 รายการ และส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าใหม่ หรือ สินค้าทดลองตลาด แล้วทำไมสินค้าพวกนี้ถึงอยู่กันไม่นาน วันนี้ G2B จะมาส่องปัญหาสำหรับ SME มือใหม่ว่ามันเกิดจากอะไร

ขายให้ดี อยู่ให้ยาว ทำอย่างไร
ปัจจุบันปัญหาของสินค้าที่เข้าร้านสะดวกซื้อแต่ไม่สามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายมีหลายสาเหตุ แต่หนึ่งในนั้นที่เรามองว่าสำคัญอย่างมากนั่นคือ “การเป็นที่รู้จักของลูกค้า” จากข้อมูลของร้านสะดวกซื้อและบทวิเคราะห์จากธนาคารกสิกรไทยกับศูนย์วิจัยการตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภค พบว่าในแต่ละเดือนสินค้าแบรนด์ใหม่ที่เข้ามาในร้านสะดวกซื้อจะมีจำนวนมากถึง 100 – 200 แบรนด์ ขึ้นกับแต่ละสาขา นั่นหมายความว่าในแต่ละเดือนคุณจะต้องเจอกับคู่แข่งเจ้าใหม่ด้วยกันจำนวนมาก ยังไม่รวมกับสินค้าที่อยู่ในร้านสะดวกซื้อมาอย่างยาวนาน ซึ่งจากข้อมูลปัจจุบันมีมากถึงมากกว่า 1,000 แบรนด์ ซึ่งทั้งหมดนี้ถ้าทำยอดขายไม่ดี ก็จะถูกนำออกจากร้านไปเพื่อเอาสินค้าใหม่เข้ามาแทน
ดังนั้นอย่างที่รู้กันว่า “การให้สินค้าเป็นที่รู้จัก” ก็ต้องใช้ “การโปรโมท” ซึ่งในปัจจุบันการโปรโมทมีแนวทางที่หลากหลายกว่าแต่ก่อนอย่างมาก โดยเฉพาะ “สื่อโซเชี่ยลมีเดีย” ที่มีอิทธิพลอย่างมากกับการโฆษณาสินค้า โดยข้อมูลจาก Digital Advertising Association ในปี 2565 เผยว่าสินค้าที่โด่งดังในโลกโซเชียลทำมูลค่าการตลาดได้มากถึง 62,054 ล้านบาท หรือคิดเป็น 38% ของมูลค่าตลาดช้อปปิ้งออนไลน์ เลยทีเดียว แต่ว่าการตลาดทั้งหมด เราไม่สามารถพึ่งพาร้านสะดวกซื้อได้ เพราะปกติร้านเหล่านี้จะทำการตลาดต่อเมื่อมีโปรโมชันทางร้านเท่านั้น และนั่นหมายความว่าคุณจะต้องทำสื่อโซเชี่ยลเพื่อโปรโมทสินค้าขึ้นมาเอง

การทำคอนเทนต์บนโลกโซเชียลจึงเป็นอีกหนึ่งการตลาดที่จะช่วยให้สินค้าของเราที่วางบนร้านสะดวกซื้อได้รับความรู้จักมากขึ้น ทำให้เกิดการบอกต่อออกไป แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เราสามารถศึกษาเทรนด์ที่ได้รับความนิยมในโลกโซเชียลเพื่อออกสินค้าหรือทำโปรโมชันให้เข้ากับเทรนด์ที่ได้รับความนิยมในช่วงเวลานั้นได้ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้แพลตฟอร์มออนไลน์โซเชียลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, X (Twitter) หรือแอปยอดนิยมอย่าง TikTok สามารถนำมาใช้ได้
แต่ไม่ใช่ว่าคุณจะเข้าไปทำการตลาดได้ทันที ก่อนหน้านั้นคุณต้อง “รู้จัก” ลูกค้าของคุณผ่านการศึกษาตลาดก่อน เราต้องรู้ว่าสินค้าของเราคือกลุ่มตลาดแบบไหน และพวกเขามีความสนใจอะไรบ้าง เพื่อให้เวลาที่คุณโปรโมทด้วยสื่อโซเชี่ยลมีเดีย สามารถทำคอนเทนต์ที่เหมาะสมและเข้าถึงกลุ่มตลาดเหล่านี้ให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบผลงานให้ตรงตามความสนใจ หรือ เทคนิคการนำเหตุการณ์แบบเรียลไทม์เข้ามาผูกกับสินค้าของคุณ ก็ล้วนช่วยให้สินค้าของคุณมีความสนใจมากขึ้น
และคำถามหลายที่หลายคนสงสัยคือ แล้วควรทำคอนเทนต์แบบไหนถึงจะได้ยอดคนสนใจมากที่สุด จริง ๆ แล้วเราสามารถทำคอนเทนต์ได้ทั้งภาพและคลิป ซึ่งทั้งหมดขึ้นกับความครีเอท แต่ว่าในปัจจุบันแพลตฟอร์มโซเชี่ยลกำลังให้ความสนใจกับเทรนด์ คลิปขนาดสั้น เนื่องจากความสำเร็จของ TikTok เรื่องนี้มีการยืนยันข้อมูลจากทาง Meta ที่เผยว่าในปี 2021 มีคนที่ดูคลิปยาวน้อยกว่า 1 นาทีมากถึง 53% จากคนดูคลิปทั้งหมด ฉะนั้นการทำคลิปสั้นจึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางการโปรโมทสินค้าที่น่าสนใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดแรงงานการสร้างได้ เพียงแต่ว่าการทำคลิปสั้นถือเป็นเรื่องที่ท้าทาย เพราะหลายแพลตฟอร์มจะเริ่มนับการเข้าชมประมาณ 3-5 วินาทีขึ้นไป เราจึงต้องทำอย่างไรก็ได้ให้คนสนใจตั้งแต่เปิดคลิป ไปจนถึงการพูดถึงสินค้าของเรา

และเมื่อการทำให้สินค้าของเราเป็นที่รู้จักแล้ว การทำการตลาดต่าง ๆ ก็จะง่ายขึ้น เช่น การทำโปรโมชันพิเศษ และเมื่อสินค้าได้รับความนิยมจนมียอดขายที่ดี ร้านสะดวกซื้อที่เราวางสินค้าเอาไว้ก็จะให้ความสำคัญและนำสินค้าของเราขึ้นมาวางบนชั้นที่เห็นสินค้าได้ชัดมากขึ้น อย่างไรก็ตามการทำคอนเทนต์ออนไลน์หรือการตลาดเพื่อโปรโมทสินค้า เป็นเรื่องที่มีความท้าทายโดยเฉพาะธุรกิจ SME หากคุณกำลังมองหาผู้ช่วย G2B ขอเสนอบริการครบวงจรด้านคอนเทนต์และการตลาด เพื่อให้สินค้าของคุณเป็นที่รู้จักและประสบความสำเร็จในยอดขายด้วยบริการเหล่านี้
Kaikong Social Media Marketing
ติดตามเนื้อหาเพิ่มเติมของ G2B ได้ที่ Facebook และสามารถติดต่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ LINE ของเรา
ที่มาข้อมูล