ในปี 2023 นี้ได้มีการเปิดเผยจากทาง Meta ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของอัลกอริทึมของ Facebook เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มประสบการณ์ในการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น สำหรับนักการตลาดและครีเอเตอร์ที่ใช้แพลตฟอร์มนี้ จำเป็นต้องปรับตัวกันอีกรอบ

แล้วในปีนี้เราจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของ Facebook อย่างไร วันนี้ G2B จะมาพูดถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น และวิธีรับมือกับมันเพื่อการผลิตคอนเทนต์ที่ได้ผลตอบรับที่ยอดเยี่ยมอย่างที่หวังได้

Discovery Engine

G2B

ก่อนอื่นเรามารู้จักกับตัวเอกของเรื่องนี้กันก่อนนั่นคือ Discovery Engine ซึ่งเป็นอัลกอริทึมซึ่งทาง Facebook ใช้งานมาอย่างยาวนาน โดยวิธีการทำงานพื้นฐานของมันจะแบ่งออกเป็น 5 ข้อดังนี้

1.Data Collection: รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้ใช้รวมถึงการโต้ตอบกับโพสต์หน้าและผู้ใช้อื่น ๆ Facebook 

2.การแยกลักษณะ: เแยกคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องจากข้อมูลที่บันทึกมาและวิเคราะห์รูปแบบกับแนวโน้มที่ผู้ใช้ Facebook จะให้ความสนใจ

3. การพัฒนาอัลกอริทึม: อัลกอริทึมจะวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้และสร้างคำแนะนำส่วนบุคคลตามพฤติกรรมและการตั้งค่าของผู้ใช้ อันเป็นการพัฒนาไปตามปฏิสัมพันธ์

4. การประเมินค่าและการเพิ่มประสิทธิภาพ: อัลกอริทึมจะประเมินข้อมูลและปรับให้เหมาะสมเพื่อความแม่นยำและประสิทธิผลในการให้ข้อมูลแก่ผู้ใช้

5. การใช้งาน: เมื่อเสร็จสมบูรณ์ ข้อมูลทั้งหมดที่อัลกอริทึมวิเคราะห์มา จะมาถึงผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นโพสต์แนะนำ, โฆษณาต่าง ๆ ที่มีการวิเคราะห์แล้วว่าผู้ใช้น่าจะสนใจ

อย่างไรก็ตามในเดือนเมษายน ปี 2022 ที่ผ่านมา มีการเผยออกมาว่าทาง Meta บริษัทแม่ของ Facebook จะมีการเปลี่ยนแปลง Discovery Engine โดยจะไม่เน้นการวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้และส่งข้อมูลที่คาดว่าจะชื่นชอบ แต่จะเปลี่ยนเป็นการเลือกหาบัญชีผู้ใช้ Facebook ที่มีผู้ติดตามสูงและมีเนื้อหาที่ “คาดว่า” ผู้ใช้จะสนใจมาแนะนำแทน ซึ่งจุดนี้รวมไปถึงโฆษณาที่ปรากฎในแพลตฟอร์มด้วย

ซึ่งหมายความว่า แบรนด์สินค้าที่พึ่งมาทำการตลาดใน Facebook จะเติบโตได้ค่อนข้างยากหากไม่มีการบูสโฆษณา รวมไปถึงแบรนด์สินค้าที่ยังไม่เติบโตมากพอที่ Facebook มองว่าเป็นเพจดังด้วยเช่นกัน ทำให้การตลาดที่ต้องพึ่งพา Influencer จะตอบโจทย์ส่วนนี้ได้ดีที่สุด

Influencer

G2B

เนื่องจากพื้นฐาน Influencer จะมีเพจที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก ทำให้การขึ้นโพสต์แนะนำบน News Feed จะมีโอกาสสูงมาก รวมถึงยังได้ฐานแฟนของ Influencer คนดังกล่าวมาช่วยผลักดันความนิยมที่มากขึ้น ทำให้การตลาดส่วนนี้ทำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตามมันก็มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตามอัลกอริทึมที่จะมีการเปลี่ยนใน Facebook จะไม่นำเสนอแค่เพจที่มีจำนวนคนติดตามสูงเท่านั้น แต่โพสต์ที่กำลังเป็นกระแสก็จะมีโอกาสแสดงหน้า News Feed สำหรับกลุ่มตลาดที่อัลริทึมวิเคราะห์ไว้ด้วยเช่นกัน ฉะนั้นการวาดลวดลายฝีมือสร้างคอนเทนต์ที่ดี, การเกาะกระแสเรียลไทม์ หรือ ใส่แฮชแท็คที่เจาะกลุ่มตลาดได้เหมาะสมยังเป็นสกิลที่จำเป็นอย่างมากเช่นเดิม เพียงแต่ว่าอาจจะเห็นผลได้ยากขึ้นกว่าเมื่อก่อนเท่านั้นครับ

ไม่เพียงแค่นั้น Facebook ยังมีความสนใจในการนำเทคโนโลยี DeepFace ระบบจดจำใบหน้าเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ เข้ามาเพื่อช่วยในการใช้งาน และมันจะมีผลอย่างมากต่อการตลาดแบบที่เราคาดไม่ถึง

DeepFace

G2B

ในการใช้ DeepFace ขั้นแรก Facebook จะตรวจสอบจากศูนย์ข้อมูลภายใน Meta ที่รวบรวมรูปภาพที่มีป้ายกำกับ โดยจะมีทั้งภาพใบหน้าจากมุมต่าง ๆ สภาพแสง และโทนสีผิว ซึ่งช่วยให้อัลกอริทึมสามารถเรียนรู้และจดจำลักษณะต่าง ๆ ของใบหน้า เช่น ตา จมูก ปาก และหู เมื่อตรวจสอบได้ระดับหนึ่งแล้ว อัลกอริทึมจะสามารถจดจำใบหน้าในรูปภาพใหม่และจับคู่ใบหน้าเหล่านั้นกับใบหน้าในฐานข้อมูล

หนึ่งในวิธีที่ Facebook ใช้ DeepFace คือการแท็กผู้คนในรูปภาพที่อัปโหลดไปยังแพลตฟอร์มโดยอัตโนมัติ เมื่อผู้ใช้อัปโหลดรูปภาพที่มีผู้คน DeepFace จะวิเคราะห์รูปภาพและตรวจหาใบหน้าที่อยู่ในนั้น จากนั้นอัลกอริทึมจะเปรียบเทียบใบหน้าที่ตรวจพบกับใบหน้าในฐานข้อมูล และแนะนำแท็กสำหรับผู้คนในรูปภาพ สิ่งนี้ทำให้ผู้ใช้สามารถระบุและเชื่อมต่อกับเพื่อนบนแพลตฟอร์มได้ง่ายขึ้น

ส่วนนี้จะช่วยให้เราสามารถทำคอนเทนต์ที่มีภาพ Influencer และทาง Facebook จะแท็กภาพให้ในทันที ส่วนนี้อัลกอริทึมก็จะมองว่าเป็นคอนเทนต์จากเพจที่มีชื่อเสียง ช่วยเพิ่มการมองเห็นใน News Feed ที่มากขึ้นตามไปด้วย เป็นการทำคอนเทนต์ที่ได้ผลอย่างดี แต่ในตอนนี้เทคโนโลยีดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา แต่คาดว่าจะมีการประกาศภายในปี 2023

REELS

G2B

สุดท้ายที่เราต้องให้ความสนใจกับการเปลี่ยนอัลกอริทึมของ Facebook ในครั้งนี้คือฟีเจอร์ Reel ที่ Meta ต้องการนำเสนอให้มากขึ้นเพื่อสามารถแข่งขันกับ TikTok ได้มากขึ้น ฉะนั้นในปี 2023 คนที่ทำคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มนี้ ต้องจับตาในส่วนของ Reel มากเป็นพิเศษครับผม

สิ่งที่ชัดเจนเลยคือ Facebook จะมีการผสมแทบของ Stories และ Reels เข้าด้วยกัน นั่นหมายความว่าผู้ใช้จะเห็นคลิปใน Reels บ่อยขึ้นแม้ว่าจะไม่ได้กดที่แท็บดังกล่าวก็ตาม ฉะนั้นครีเอเตอร์ต้องมีการผลิตคลิปสั้นสำหรับการ Reels มากขึ้น และควรจะแตกต่างจาก TikTok เพื่อไม่ให้คนอื่นมองว่าเราไม่สร้างสรรค์ 

สำหรับ Reels ในปี 2023 จะมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงมากมายทั้งเครื่องมือการแก้ไขคลิปชั้นสูงที่จะช่วยให้เราปรับคลิปได้หลากหลายมากขึ้น, การวิเคราะห์เนื้อหาโดยใช้อัลกอริทึมของ Facebook ที่แนะนำเนื้อหาตามความสนใจของผู้ใช้ และที่สำคัญคือการสร้างรายได้ผ่านคลิป Reels ที่จะเพิ่มฟีเจอร์จ่ายเงินโดยตรงไปยังผู้ทำเนื้อหา สิ่งที่เราขอแนะนำคืออย่าลืมใส่ปุ่ม Call-to-Action เพื่อการเข้าดูสินค้าหรือบริการ สำหรับผู้ทำคลิปที่ต้องการขายสินค้า ส่วนนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกและเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น

นี่คือภาพรวมของอัลกอริทึมที่จะมีการเปลี่ยนแปลงของ Facebook ในปี 2023 และยังมีอีกหลายอย่างที่ทาง Meta ให้สัญญาว่าจะมีการปรับปรุง เช่น ระบบ AI ที่จะปรับการวิเคราะห์ข้อมูลให้ดีมากยิ่งขึ้น และจะทำงานร่วมกับอัลกอริทึมช่วยการแนะนำคอนเทนต์แก่ผู้ใช้ได้มากกว่าเดิม แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่เห็นภาพที่ชัดเจน เราจึงยังไม่สามารถอธิบายการรับมือในส่วนนี้ได้ชัดเจนนัก แต่จากข้อมูลที่ออกมา เชื่อว่าพอจะทำให้ทุกคนสามารถรับมือกับ Facebook ในปี 2023 นี้ได้ดีขึ้นนะครับผม

แต่หากใครต้องการทำการตลาดที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิม G2B เรามีแพ็คเกจสนับสนุนช่วยให้การตลาดของคุณดียิ่งขึ้น สามารถคลิกเพื่อดูได้รายละเอียดได้เลยครับ

สามารถติดตามเรื่องราวของ G2B ได้ที่ Facebook ของบริษัท

inquiry form